
มะเร็งตับเป็นโรคที่พบบ่อยและมีความสำคัญมาก เกิดจากเซลล์บริเวณตับมีการแบ่งตัวที่ผิดปกติอย่างไม่หยุดยั้งแล้วพัฒนาเป็นมะเร็งในที่สุด ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากหรือระยะสุดท้ายของโรคซึ่งเป็นระยะที่ยากต่อการรักษา
- ภาวะตับแข็งจากทุกสาเหตุเช่นจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี แอลกอฮอล์ สารพิษอะฟลาท็อกซินในถั่วลิสง พริกแห้ง
- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทั้งชนิดบีโดยไม่จำเป็นต้องเป็นตับแข็งมาก่อน
- ไขมันเกาะตับโดยไม่จำเป็นต้องเป็นตับแข็งมาก่อน
- ระยะแรกมักไม่มีอาการ
- ระยะหลังอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดแน่นท้องบริเวณข้างขวาส่วนบน
- ท้องมาน
- น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
- คลำพบก้อนที่บริเวณตับ
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
- การตรวจทางรังสีวิทยา เช่น การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
- การตรวจค่าบ่งชี้มะเร็งตับ (alph- fetoprotein)
- การตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยาเฉพาะในกรณีที่รังสีวิทยาไม่แน่ชัด
การป้องกันมะเร็งตับ
ตรวจคัดกรองหามะเร็งตับเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่ดีที่สุด จากหลักฐานที่ว่ามะเร็งตับจะโตขึ้นเป็น
2 เท่าภายในเวลา 3-6 เดือน
จึงแนะนำให้ตรวจอัลตราซาวน์ทุก 6 เดือนร่วมกับการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ
(alpha-fetoprotein) ในผู้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับดังต่อไปนี้
- ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ผู้ชายอายุมากกว่า 40
ปี ผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี หรือมีคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับ
- ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ที่มีผังผืดในตับรุนแรง
- ผู้ป่วยโรคตับแข็งจากทุกๆสาเหตุ
Sign up here with your email

ConversionConversion EmoticonEmoticon