สาเหตุของโรคไขมันพอกตับแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
-
- สาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ซึ่งความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับทั้งปริมาณแอลกอฮอล์ ประเภท และระยะเวลาที่ดื่ม
เรียกว่า Alcoholic fatty liver
-
- สาเหตุที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์
เรียกว่า Non alcoholic fatty liver สัมพันธ์กับภาวะต่างๆดังนี้
o
การใช้พลังงาน (Metabolism)ของร่างกายที่ผิดปกติไปเรียกว่า
Metabolic syndrome เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
และโรคไขมันในเลือดสูง (แต่พบว่ามีไขมันพอกตับ 10% ที่พบในคนผอมได้เช่นกัน)
o
การได้รับอาหารทางหลอดเลือดต่อเนื่อง
o
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
o
ยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์
ยาต้านไวรัสบางชนิด ยาต้านฮอร์โมนบางชนิดในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม เป็นต้น
o
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
o
ภาวะขาดสารอาหาร
ระดับความรุนแรงชองไขมันพอกตับ
- ระยะแรก จะมีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับโดยยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้น
- ระยะที่สอง จะเริ่มมีอาการอักเสบของตับ มีการทำลายเซลล์ตับ
- ระยะที่สาม เริ่มเกิดพังผืดในตับ แต่ยังไม่ถึงขนาดเป็นตับแข็ง
- ระยะที่สี่ เกิดเป็นตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับตามมาได้
อาการ
ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ
โดยหากมีอาการก็จะเป็นอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงเช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บแน่น ใต้ชายโครงขวา (ตำแหน่งที่อยู่ของตับเนื่องจากการมีตับโตขึ้น)
การวินิจฉัยโรคไขมันพอกตับ
การตรวจเลือดดูภาวะตับอักเสบ
การตรวจอัลตราซาวนด์
การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจทางพยาธิวิทยา
การตรวจวัดปริมาณไขมันและผังผืดในตับด้วยเครื่อง
FibroScan
ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
หยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน โดยควรลดน้ำหนักลงให้ได้อย่างน้อย
7-10%
ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งครั้งละอย่างน้อย
30 นาทีเน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค
จำกัดอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต และไขมันมากแต่ควรรับประทานอาหารให้ครบ
3 มื้อ
ควบคุมปัจจัยต่างๆเช่นเบาหวาน
ไขมันในเลือดสูงให้ดี
หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่นอกเหนือจากที่แพทย์สั่ง
Sign up here with your email

ConversionConversion EmoticonEmoticon