ไวรัสตับอักเสบซี





 ไวรัสตับอักเสบซีเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตับอักเสบ โดยข้อมูลจากการศึกษาเมื่อปี 2557 พบว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในประเทศไทยอยู่ที่ 0.94% หรือประมาณ 7 แสนคน โดยไวรัสตับอักเสบซีจะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับและทำให้เซลล์ตับถูกทำลายจากนั้นจะพัฒนาไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับต่อไป

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีและควรได้รับการทดสอบหาเชื้อ
·         ผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะก่อนปี พ.ศ.2535 เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมาก่อน
·         การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
·         การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับคนที่มีเชื้อ
·         การใช้เข็มสักตามตัวและการเจาะหูร่วมกันกับคนที่มีเชื้อ
·         การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกันคนที่มีเชื้อ
·         การถูกเข็มตำจากการทำงานซึ่งเป็นเข็มที่ใช้กับคนที่มีเชื้อมาก่อน
·         การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่งของคนที่มีเชื้อโดยผ่านเข้าทางบาดแผล
·         ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (พบได้น้อย)
หมายเหตุ ไม่ติดต่อกันทางลมหายใจ การทานอาหารหรือน้ำดื่มร่วมกัน การให้นมบุตร และการจูบกัน (ถ้าปากไม่มีแผล)

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี
1.      ระยะเฉียบพลัน (ภายใน 6 เดือน)
·         ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ
·         ผู้ป่วยประมาณ 30% อาจมีอาการไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
·         ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะตับวายจากการที่มีอาการอักเสบของตับอย่างมากและเซลล์ตับถูกทำลายอย่างรุนแรง
2.      ระยะเรื้อรัง
·         ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการ โดยอาจมีอาการเมื่อเกิดภาวะตับแข็งเช่นอาการดีซ่าน ท้องมานหรือมะเร็งตับซึ่งเป็นผลที่ตามมาของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง

แนวทางในการประเมินผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี
ประเมินจากประวัติครอบครัวว่ามีมะเร็งตับในครอบครัว อายุของผู้ป่วย ภาวะตับอักเสบ ปริมาณเชื้อและชนิดของไวรัสตับอักเสบซี ภาวะผังผืดของตับจากการตรวจด้วยเครื่องตรวจวัดผังผืดของตับ Fibroscan หรือการตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์เพื่อประเมินภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับ









การวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี
1 Anti-HCV (ภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบซี): ให้ผลบวก จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีไม่ว่าจะยังคงเป็นอยู่หรือหายจากโรคไวรัสตับอักเสบซีแล้ว จึงควรตรวจวัด HCV RNA ซึ่งบอกถึงปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันต่อไป
2 HCV RNA (ปริมาณเชื้อไวรัสตับอักเสบซี) เพื่อเป็นตัวบอกว่ายังมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่หรือไม่ รวมถึงใช้ในการติดตามการรักษาไวรัสตับอักเสบซี
3 HCV genotype ใช้ในการบอกว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซีที่เป็นอยู่เป็นสายพันธ์ใด เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาโรค เนื่องจากการรักษาไวรัสแต่ละชนิดมีความยากง่ายแตกต่างกัน โดยไวรัสตับอักเสบซีจะแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ในประเทศไทยพบชนิดที่ 1 และ 3 พอๆ กัน คือชนิดละ 40% รองลงไปจะเป็นชนิดที่ 2 ส่วนชนิดที่ 4, 5 และ 6 นั้นพบได้น้อย

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี
ประกอบไปด้วยการรักษาอยู่ 2 แบบ
1 การให้ยาฉีด pegylated-interferon alpha ร่วมกับยากิน ribavirin มีระยะเวลาในการรักษาประมาณครึ่งปีถึง1 ปี มีข้อดีที่ประหยัดกว่า ข้อเสียคืออัตราการหายขาดต่ำกว่า ใช้ระยะเวลาในการรักษานานกว่า ยามีผลข้างเคียงมากกว่า โดยส่วนใหญ่จะให้กับผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามเช่นอายุต่ำกว่า 2 ปี มีประวัติแพ้ยาที่ใช้ในการรักษา มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงที่ยังควบคุมไม่ได้ ตั้งครรภ์หรือไม่เต็มใจที่จะยินยอมในการคุมกำเนิด ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ (ไต หัวใจ หรือปอด) มีโรคภูมิต้านทานทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง
2 ยากินในกลุ่ม Direct acting antiviral drug (DAA) มีระยะเวลาในการรักษาประมาณ 12 สัปดาห์สำหรับผู้ที่ไม่มีตับแข็ง 24 สัปดาห์สำหรับผู้ที่มีตับแข็ง มีข้อดีคืออัตราการหายขาดสูงกว่า ใช้ระยะเวลาในการรักษาสั้นกว่า ยามีผลข้างเคียงน้อยกว่า ข้อเสียคือราคาสูงกว่า โดยอาจระวังการให้ในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง

การปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
  • รับประทานยาและปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
  • เข้ารับการตรวจเลือดตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  • บอกให้คนใกล้ชิดทราบว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเพื่อให้ระวังตัว
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์
  • งดบริจาคเลือด
  • งดดื่มสุราและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่สุกสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการซื้อยามารับประทานเอง
  • เข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ บี


Previous
Next Post »