มะเร็งลำไส้ใหญ่เกิดจากเซลล์ลำไส้ที่เคยปกติเกิดการแบ่งตัวอย่างไม่หยุดยั้งจนควบคุมไม่ได้ ระยะแรกๆ อาจเป็นเพียงแค่ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ที่ยังไม่ใช้เนื้อร้าย แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษาหรือตัดทิ้ง ติ่งเนื้อนี้อาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งได้ พบได้มากเป็นอันดับ 3 ของมะเร็งในผู้ชาย และเป็นอันดับ 5 ของมะเร็งในผู้หญิง โดยมากกว่า 90% มักพบในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในผู้ที่มีอายุน้อยได้เหมือนกัน
ใครที่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- - อายุมากกว่า 50 ขึ้นไป ทุกคน
- - มีประวัติของโรคลำไส้อักเสบชนิดเรื้อรัง
inflammatory bowel disease) คือ โรค ulcerative colitis และ
Crohn’s disease มานานกว่า 8 ปีขึ้นไป
- - มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- - การไม่ออกกำลังกายและความอ้วน
อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
- - การสูบบุหรี่
- - เคยมีประวัติได้รับการฉายรังสีรักษามะเร็งชนิดอื่นที่บริเวณท้องมาก่อน
- - การกินอาหารเนื้อแดง รวมถึงเนื้อที่ผ่านกระบวนการ
เนื้อสัตว์ที่ผ่านการทอด ปิ้ง หรือย่างไหมเกรียม อาหารเค็มหรืออาหารหมักดอง อาหารที่มีไขมันสูง
ร่วมกับอาหารที่มีเส้นใยน้อย (ขาดผักและผลไม้)
- -โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง เช่น มะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติแบบกรรมพันธุ์
อาการมะเร็งลำไส้ใหญ่
- - ไม่มีอาการ (พบได้มากที่สุด)
- - ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับท้องเสีย
- - อุจจาระปนเลือดสดๆ หรือสีดำยางมะตอย
- - ไม่สบายท้อง รวมทั้งปวดแสบร้อน
อาหารไม่ย่อย และปวดเกร็ง
- - น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- - อ่อนเพลียหรืออ่อนแรง
- - ซีด
การวินิจฉัย
แนะนำให้เริ่มตรวจประเมินเบื้องต้นทั้งผู้ชายและผู้หญิงเมื่ออายุ
50 ปี ทุกคนเนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่หากพบในระยะแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้
โดยวิธีการตรวจประเมินเบื้องต้นทำได้ดังนี้
-
การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy)
วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถตัตเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้ รวมถึงตัดติ่งเนื้อที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในอนาคตได้
-
การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (FIT
test) สามารถตรวจได้ว่ามีเนื้องอกหรือเป็นมะเร็งหรือไม่
การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปี แต่อาจตรวจไม่พบหากมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ไม่มีเลือดออกมาจากผิวของก้อนมะเร็ง รวมถึงไม่สามารถยืนยันว่าเลือดที่ออกนั้นมาจากก้อนมะเร็งหรือสาเหตุที่มีเลือดออกอื่นๆในลำไส้
-
การใช้สารทึบแสงแบเรียมร่วมกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซเรย์
CT scan (double contrast barium enema: DCBE) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องได้ แต่จะไม่สามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งได้
Sign up here with your email


ConversionConversion EmoticonEmoticon